แคนนอนป้องกันแชมป์พรินเตอร์

แคนนอน ชี้ตลาดพรินเตอร์ปีนี้โตมากกว่า 5% ตั้งการ์ดป้องส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% หลังคู่แข่งจ้องเจาะยางชิงมาร์เก็ตแชร์ พร้อมงัดกลยุทธ์ขนทัพเทคโนโลยีใหม่ บุกตลาดกล้องดิจิตอล พร้อมชนราคาคู่แข่งต่ำสุด 2,990 บาท
นายวรินทร์ ตันติพงศ์พาณิช" ผู้อำนวยการอาวุโสและผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าเป้าหมายการทำตลาดเครื่องพิมพ์ หรือ พรินเตอร์ของบริษัทปีนี้ คือ มุ่งรักษาส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ เนื่องจากเชื่อว่าการแข่งขันจะรุนแรงขึ้น โดยคู่แข่งพยายามเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด ทั้งที่ตลาดโดยรวมปีนี้มีการเติบโตไม่มากนัก ทั้งนี้คาดว่าตลาดรวมจะเติบโตขึ้นมากกว่า 5% โดยมีมูลค่าการซื้อขายในตลาด 1.2-1.3 ล้านเครื่อง
ส่วนตลาดเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์นั้นปีนี้เติบโตค่อนข้างมาก คาดว่าตัวเลขการเติบโตน่าจะอยู่ราว 10-15% ทั้งนี้เป็นผลมาจากโครงการประมูลจัดซื้อไอทีภาครัฐภายใต้งบไทยเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามบริษัทค่อนข้างเสียเปรียบคู่แข่งทางด้านราคา เนื่องจากสินค้ามีราคาสูงกว่าคู่แข่ง แต่ก็ยังมีบางโครงการที่มองคุณภาพของสินค้ามากกว่าราคา ทำให้สามารถเข้าไปมีส่วนแบ่งในโครงการภาครัฐบางโครงการแต่ไม่มากนัก
"ปีนี้เชื่อว่าองค์กรจะกลับมาลงทุนอีกครั้งหลังจากชะลอตัวไปปีที่แล้ว ขณะที่ภาครัฐ ก็มีโครงการจัดซื้อไอที ภายใต้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบกับผู้ค้าองค์ก็มีกลยุทธ์ชวนให้เปลี่ยน หรือลงทุนซื้อเครื่องใหม่ เช่น การให้เครื่องไปใช้ฟรี ภายใต้เงื่อนไข หรือแคมเปญจะต้องซื้อหมึกของผู้ผลิตรายนั้น หรือ แคมเปญเช่าซื้อ เช่าใช้ อย่างไรก็ตามนโยบายหลักของบริษัทมุ่งเน้นการขายสินค้ามากกว่าการจัดทำแคมเปญเช่าใช้ เนื่องจากไม่มีความชำนาญด้านการให้บริการเช่า
สำหรับตัวเลขส่วนแบ่งตลาดเครื่องพิมพ์ล่าสุดเมื่อไตรมาส 3 ปี 2552 จากสำนักวิจัยตลาดไอที "ไอดีซี" ระบุว่าเครื่องพิมพ์แคนนอนมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกหรือ อิงค์เจ็ตพรินเตอร์ โดยรวม 43% แบ่งเป็นเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก ที่มีฟังก์ชันการพิมพ์อย่างเดียว 45-46% และเครื่องพิมพ์พ่นหมึกแบบที่มีคุณสมบัติการพิมพ์อเนกประสงค์ หรือ มัลติฟังก์ชัน 38% ขณะที่บริษัทประมาณการว่าในปี 2552 ทั้งปีนั้นจะมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก ที่มีฟังก์ชันการพิมพ์อย่างเดียว 46% และเครื่องพิมพ์พ่นหมึกแบบที่มีคุณสมบัติการพิมพ์อเนกประสงค์ หรือ มัลติฟังก์ชัน 40%
นายวรินทร์ กล่าวต่ออีกว่าส่วนการทำตลาดกล้องดิจิตอลปีนี้น่าจะมีการเติบโตสูง หลังจากที่ปีที่ผ่านมาเติบโตไม่ถึง 5% สำหรับปัจจัยที่ทำให้ตลาดปีนี้มีการเติบโตนั้นมาจากคุณสมบัติ หรือฟีดเจอร์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ระดับราคายังเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ตลาดกล้องดิจิตอลเติบโตขึ้น โดยการแข่งขันราคาทำให้ปีนี้กล้องดิจิตอลลดลงเหลือ 2,990 บาท ขณะที่คู่แข่งบางรายเริ่มลดราคาลงเหลือ 1,990 บาท ทั้งนี้คาดว่าปีนี้ตลาดกล้องดิจิตอลโดยรวมจะมีการซื้อขายกันที่ตัวเลขประมาณ 1.1-1.2 ล้านเครื่อง จากเดิมปีที่ผ่านมาคาดว่าตลาดรวมจะมีตัวเลขการซื้อขาย 1 ล้านเครื่อง
สำหรับตลาดกล้องดิจิตอลแบบเลนส์เดียว หรือ ซิงเกิลเลนส์ นั้นคาดว่าจะมีตัวเลขซื้อขายประมาณ 85,000 เครื่อง จากเดิมปีที่ผ่านมามีตัวเลขการซื้อขาย 65,000 เครื่อง โดยแคนนอนมีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในตลาดกล้องดิจิตอลแบบเลนส์เดียว คือ 61% และอันดับ 2 ในตลาดกล้องดิจิตอลแบบคอมแพ็กต์
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดของบริษัทปีนี้จะมุ่งเน้นการนำสินค้าใหม่ ที่มีฟีดเจอร์ใหม่เข้ามาทำตลาด แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดฟีดเจอร์ที่เพิ่มขึ้นได้ในขณะนี้ อาทิ เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า หรือวัตถุ ขณะที่การแข่งขันด้านราคานั้นบริษัทคงไม่ลดราคาสินค้าระดับล่างลงไปต่ำกว่า 2,990 บาท เพราะไม่สามารถทำต้นทุนให้ต่ำลงกว่านี้ได้ เนื่องจากบริษัทเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบกล้องเองทั้งหมด นอกจากนี้ยังไม่ถนัดการทำตลาดระดับล่าง โดยตลาดส่วนใหญ่อยู่ที่กลุ่มกลางราคา 8,000-10,000 บาท ซึ่งในตลาดระดับล่างราคาต่ำกว่า 8,000 บาท จะมีเพียง 1-2 รุ่นเท่านั้นที่ทำตลาดอยู่ โดยต้องยอมรับว่าตลาดระดับล่างนั้นมีขนาดตลาดใหญ่สุด มีสัดส่วนประมาณ 70%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,510 4-6 มีนาคม พ.ศ. 2553