เอปสัน โชว์วิสัยทัศน์ไต่บัลลังก์ผู้นำตลาดอิงก์เจ็ตพรินเตอร์รวม เตรียมส่งสินค้าใหม่กว่า 10 รุ่น เจาะกลุ่มองค์กร หวังแทนที่เลเซอร์พรินเตอร์ ชี้พฤติกรรมเปลี่ยนนิยมพิมพ์เอกสารสีนำเสนอลูกค้า เผยยอดโต 5% ฟันรายได้ปีที่ผ่านมา 2,100 ล้านบาท
นายยรรยง มุนีมงครพร ผู้อำนวยการบริหาร บริษัทเอปสัน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทได้วางยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจระยะกลาง ในการก้าวขึ้นเป็นอันดับ 1 ในตลาดเครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึกหรืออิงก์เจ็ต พรินเตอร์โดยรวมใน 2 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งเป็นอันดับ 2 -3 โดยมีส่วนแบ่งตลาดเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตฟังก์ชันการทำงานพิมพ์อย่างเดียวหรือซิงเกิลฟังก์ชัน เป็นอันดับ 2 คือ 34% และเครื่องพิมพ์ที่มีคุณสมบัติการทำงานอเนกประสงค์ หรือมัลติฟังก์ชัน เป็นอันดับ 3 คือ 20-21%
โดยกลยุทธ์หลักที่สำคัญปี 2553 นี้คือการขยายฐานตลาดเครื่องพิมพ์แบบอิงก์เจ็ตไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กร และสำนักงานมากขึ้น ซึ่งมองว่าอิงก์เจ็ตพรินเตอร์ มีแนวโน้มจะเข้าไปทดแทนการทำงานของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์พรินเตอร์ในองค์กร เนื่องจากพฤติกรรมการใช้งานขององค์กรในขณะนี้นั้นมีความต้องการพิมพ์สีมากขึ้น เพราะมีความสวยงามและน่าตื่นเต้นมากกว่าการพิมพ์เอกสารขาว-ดำ โดยเฉพาะเอกสารที่ใช้ในการนำเสนองานกับลูกค้า หรือใบเสนอราคาต่างๆ ขณะที่เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์พรินเตอร์ยังมีราคาสูงกว่าเครื่องพิมพ์แบบอิงก์เจ็ต ทั้งยังมีคุณภาพการพิมพ์สีต่ำกว่าอิงก์เจ็ตพรินเตอร์
ซึ่งปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์เครื่องพิมพ์แบบอิงก์เจ็ตรุ่นใหม่ทั้งแบบฟังก์ชันการทำงานพิมพ์อย่างเดียว หรือซิงเกิลฟังก์ชัน และเครื่องพิมพ์ที่มีคุณสมบัติการทำงานอเนกประสงค์ หรือ มัลติฟังก์ชัน เข้ามาทำตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรไม่ต่ำกว่า 10 รุ่น โดย 6-7 รุ่น เป็นรุ่นใหม่ที่ตลาดองค์กรกลุ่มใหม่ๆ ส่วนอีก 3-4 รุ่นเป็นรุ่นทดแทนรุ่นเดิม โดยจะมีคุณสมบัติการทำงานใหม่เพิ่มเติม อาทิ ความเร็วการพิมพ์สูงขึ้น ทั้งนี้จากการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กรคาดว่าจะส่งผลให้บริษัทมียอดการเติบโตในปีงบประมาณ 2553 (เริ่ม 1เม.ย.53-31 มี.ค.54) ประมาณ 15% ขณะที่ตลาดโดยรวมคาดว่าจะมีตัวเลขการเติบโตประมาณ 10%
"ขณะที่ผู้ผลิตทุกราย กำลังมองการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าองค์กร อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาเรามีจุดแข็งในตลาดองค์กรอยู่แล้วจากการทำตลาดเครื่องพิมพ์แบบหัวเข็ม หรือดอตเมทริกซ์ ที่เราเป็นผู้นำตลาดอยู่ ซึ่งปีนี้เรามองว่าตลาดองค์กรมาแน่นอน เพราะปีที่ผ่านมามีการชะลอการซื้อลงไป นอกจากนี้เรายังมองว่าการขยายตลาดเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตมายังตลาดองค์กรจะช่วยสร้างธุรกิจให้มีการเติบโตแบบยั่งยืน เนื่องจากกำไรดีกว่า และองค์กรมีการใช้หมึกแบบต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามตลาดกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป หรือคอนซูเมอร์ ปีนี้ก็ยังคงเติบโต และมีสัดส่วนประมาณ 70 - 80% ของตลาดอิงก์เจ็ตพรินเตอร์โดยรวม โดยเฉพาะเครื่องพิมพ์แบบมัลติฟังก์ชัน มีแนวโน้มการเติบโตสูงมาก ซึ่งคาดว่าขณะนี้มีสัดส่วนเครื่องพิมพ์อิงก์เจ็ตมัลติฟังก์ชันประมาณ 60% และเครื่องพิมพ์ซิงเกิลฟังก์ชัน 40%
นายยรรยง กล่าวต่ออีกว่า ท่ามกลางปัจจัยลบทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดเครื่องพิมพ์โดยรวมปีที่ผ่านมาติดลบ 10-11% อย่างไรก็ตามบริษัทยังสามารถสร้างยอดรายได้ให้เติบโตขึ้นราว 5% โดยปีงบประมาณ 2552 (เริ่มเม.ย.52-มี.ค.53) มีรายได้ประมาณ 2,100 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทมียอดการเติบโตขึ้นมาจากการนำสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดต่อเนื่อง พร้อมทั้งการจัดกิจกรรมการตลาดใหม่ๆ เข้ามาออกสู่ตลาดท่ามกลางการเมืองไม่นิ่ง ทั้งยังมีการสร้างคู่ค้าต่างจังหวัดและมุ่งเน้นการบริการลูกค้า โดยปีที่ผ่านมาได้ดำเนินการปรับโครงสร้างการให้บริการลูกค้าใหม่ทั้งหมด ทำให้สามารถให้บริการซ่อมเครื่องพรินเตอร์ และโปรเจ็กเตอร์ กับลูกค้าภายใน 5 วัน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,512 11 - 13 มีนาคม พ.ศ. 2553